วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

ปราสาทและมหาวิหารเดอแรม

ปราสาทเดอแรม

ปราสาทเดอแรม (Durham Castle) เป็นปราสาทแบบนอร์มันในเมืองเดอแรม มณฑลเดอแรม สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโบสถ์เดอแรม บนยอดเนินเขาเหนือแม่น้ำแวร์บนคาบสมุทรเดอแรม
ประวัติ
ปราสาทนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 เพื่อปกป้องบิชอปแห่งเดอแรมจากการถูกโจมตี เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของปราสาทแบบ mott and bailey ที่ได้รับอิทธิพลของนอร์มัน
ปราสาทนี้ห้องโถงขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นบิชอปแอนโทนี เบค เมื่อต้นศตวรรษที่ 14 เคยเป็นห้องโถงในปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในเกาะบริเตน จนกระทั่งบิชอปริชาร์ด ฟอกซ์ ปรับขนาดห้องโถงให้เล็กลงเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 15 ห้องโถงปัจจุบันมีความสูง 14 เมตร และยาวมากกว่า 30 เมตร

วิหารในปราสาท ปราสาทเดอแรมมีวิหารอยู่ 2 แห่ง คือ วิหารนอร์มัน สร้างเมื่อประมาณปี 1078 และวิหารทันสตอล สร้างในปี 1540
วิหารนอร์มันเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการสำรวจในปราสาท สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบแซกซอน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีการเกณฑ์แรงงานชาวแซกซอนมาสร้าง ในศตวรรษที่ 15 หน้าต่างของวิหารทั้ง 3 บานถูกปิดผนึกหลังมีการต่อเติมป้อมปราสาท และไม่ได้ถูกใช้งานอีกจนกระทั่งปี 1841 ซึ่งถูกใช้เป็นทางเดินภายในป้อมปราสาท ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ถูกใช้เป็นฐานที่มั่นสะสมกำลังและสังเกตการณ์ของกองทัพอากาศ และต่อมาเมื่อมีการสำรวจจึงได้ทราบจุดประสงค์แต่เดิมของการสร้างวิหารนี้ หลังสงครามจึงมีการบูรณะวิหารขึ้นใหม่และใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมมาจนทุกวันนี้
วิหารทันสตอลมีขนาดใหญ่กว่าวิหารนอร์มัน และถูกใช้งานมามากกว่า ในศตวรรษที่ 17 บิชอปคอซินและบิชอปครูว์ได้ต่อเติมส่วนของวิหารให้กว้างขวางขึ้น ที่ด้านหลังวิหาร ม้านั่งบางตัวบริเวณนี้ทำขึ้นมาตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่16

University College
ในปี 1837 บิชอปเอ็ดวาร์ด มอล์ทบี ได้มอบปราสาทให้แก่มหาวิทยาลัยเดอแรมเพื่อเป็นที่พักของนักศึกษา ได้รับการตั้งชื่อว่า University College สถาปนิกแอทโธนี ซาลวิน ได้บูรณะป้อมปราสาทที่พังทลายให้มีลักษณะเหมือนแรกเริ่ม เมื่อครั้งเปิดใช้ในปี 1840 ปราสาทรองรับนักศึกษาได้มากกว่า 100 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะพักอาศัยอยู่ในป้อมปราสาท
ปัจจุบันนี้ ห้องโถงใหญ่ของบิชอปเบกถูกใช้เป็นโรงอาหารสำหรับนักศึกษา และห้องใต้ดินของห้องโถงถูกปรับเปลี่ยนเป็นบาร์ วิหารทั้งสองแห่งยังคงใช้งานทั้งในด้านพิธีกรรมทางศาสนาและการแสดงละคร ส่วนอื่นๆของปราสาทถูกใช้เป็นห้องสมุด ในช่วงวันหยุดของวิทยาลัย ปราสาทจะเปิดเป็นโรงแรมและห้องสัมมนา มีเพียงนักศึกษา บุคลากรของโรงแรม และแขกของโรงแรม ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปภายในปราสาทได้
มรดกโลก
ปราสาทเดอแรมและมหาวิหารเดอแรมได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
ข้อความจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรถึงเหตุผลของการเสนอชื่อปราสาทเข้ารับเลือกมีดังนี้:
ในอังกฤษมีอาคารเพียงไม่กี่หลังที่สามารถยืนหยัดฝ่ากระแสความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ได้ยาวนานกว่าปราสาทเดอแรม หลังจากการพิชิตนอร์มัน ปราสาทถูกบูรณะ ต่อเติม และปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ตามสถานการณ์มาตลอดระยะเวลากว่า 900 ปี



ปราสาทเดอแรม มองจากหน้าโบสถ์











เข้าปราสาทเดอแรม



ป้อมปราสาท























มหาวิหารเดอแรม


มหาวิหารเดอแรม (อังกฤษ: Durham Cathedral) เป็นมหาวิหารนิกายอังกลิคัน ตั้งอยู่ที่เมืองเดอแรมใน สหราชอาณาจักร ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1093 มีชื่อเต็มว่า The Cathedral Church of Christ, Blessed Mary the Virgin and St Cuthbert of Durham
ลักษณะโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นแบบโรมาเนสก์ มีหอคอยสูง 66 เมตร มีบันไดขึ้นทั้งหมด 325 ขั้น
มหาวิหารเป็นที่เก็บวัตถุมงคลของคัธเบิร์ตแห่งลินเดสฟาร์น (Cuthbert of Lindisfarne) นักบุญจากศตวรรษที่ 7 นอกจากนั้นยังเป็นที่เก็บศีรษะของนักบุญออสวอลด์แห่งนอร์ธัมเบรีย (St Oswald of Northumbria) และร่างของนักบุญบีด
บาทหลวงของมหาวิหารเดอแรมเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากมาจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตำแหน่งของบาทหลวงของสังฆมณฑลเดอแรมถือว่ามีความสำคัญเป็นที่สี่ของ Church of England แม้ในปัจจุบันก็ยังมีป้ายของมณฑลเดอแรมว่าเป็นดินแดนของ Prince Bishops
มหาวิหารได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมกับปราสาทเดอแรมซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกันเหนือแม่น้ำเวียร์ (River Wear)

สมัยแซ็กซอน
สังฆมณฑลเดอแรมย้ายมาจากลินเดสฟาร์น ที่ก่อตั้งโดยนักบุญไอดาน (St Aidan) โดยการนำของนักบุญออสวอลด์ราวปี ค.ศ. 635. สังฆมณฑลอยู่มาได้ถึงปี ค.ศ. 664 ก็ย้ายไปรวมกับขึ้นกับบาทหลวงของสังฆมณฑลยอร์ค แต่ก็ได้กลับมาเป็นสังฆมณฑลอิสระอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 678 โดยอาร์ชบิชอปแห่งแคนเตอร์บรี ในบริเวณนี้มีนักบวชที่ได้เป็นนักบุญหลายองค์รวมทั้งนักบุญคัธเบิร์ตแห่งลินเดสฟาร์นผู้เป็นคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารเดอแรม
หลังจากที่โดนถูกรุกรานโดยไวกิงหลายครั้งพระก็หนีจากลินเดสฟาร์นเมื่อ ค.ศ. 875 ไปพร้อมกับวัตถุมงคลของนักบุญคัธเบิร์ต สังฆมณฑลลินเดสฟาร์นก็ไม่ได้อยู่เป็นที่เป็นทางมาจนราวปี ค.ศ. 882 เมื่อมีชุมชนก่อตั้งตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่เชสเตอร์เลอสตรีท (Chester-le-Street) สังฆมณฑลก็ตั้งอยู่ที่นี่จนปี ค.ศ. 995 เมื่อถูกรุกรานอีกจนพระต้องอพยพหนีอีกครั้ง
ตามตำนานกล่าวว่าพระที่หนีการรุกรานไปเจอหญิงรีดนมที่กำลังตามหาวัวสีน้ำตาล (Dun Cow) พระก็ตามไปด้วยจนไปถึงแหลมที่เป็นรูปห่วงที่แม่น้ำเวียร์ พอมาถึงที่นั้นโลงของนักบุญคัธเบิร์ตก็ไม่ยอมเคลื่อนไปไหน พระจึงถือว่าเป็นสัญญาณว่าควรจะสร้างวัดตรงนั้น แต่เหตุผลหนึ่งที่น่าจะมีเหตุผลกว่าคือที่ดินที่เป็นแหลมตรงนั้นเป็นที่สูงซึ่งเป็นตำแหน่งที่ง่ายต่อการป้องกันตัวจากข้าศึก และชุมชนที่ตั้งหลักแหล่งก็จะได้รับการคุ้มครองจากเอิร์ลแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ด้วย เพราะบาทหลวงแอลดุน (Aldhun) เป็นญาติสนิทกับเอิร์ล แต่กระนั้นทางผ่านทางหอด้านตะวันออกของลานปราสาทก็จึงเรียกว่า Dun Cow Lane
เมื่อเริ่มแรกทางวัดก็สร้างสิ่งก่อสร้างชั่วคราวจากไม้เพื่อจะได้เป็นที่ตั้งนักบุญคัธเบิร์ต ต่อมาก็ย้ายไปตั้งในสิ่งก่อสร้างใหม่ที่ถาวรกว่าที่อาจจะทำด้วยไม้ สิ่งก่อสร้างนี้เรียกว่า White Church แต่วัดนี้ก็อยู่ได้เพียงสามปีก็มีวัดใหม่สร้างด้วยหินขึ้นมาแทน เมื่อปี ค.ศ. 998 โดยยังใช้ชื่อเดิม พอมาถึงปี ค.ศ. 1018 หอด้านตะวันตกก็ยังสร้างไม่เสร็จ มหาวิหารเดอแรมกลายมาเป็นสถานที่ดึงดูดนักแสวงบุญของลัทธินิยมนักบุญคัธเบิร์ต พระเจ้าคานุท (King Canute) เองก็ทรงนิยมนักบุญคัธเบิร์ต โดยพระราชทานสิทธิพิเศษและที่ดินให้แก่ชุมชนเดอแรม ชุมชนเดอแรมก็ขยายตัวเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้นตามลำดับ

ยุคกลาง
มหาวิหารปัจจุบันออกแบบโดยสมเด็จบาทหลวงวิลเลียมแห่งเซ็นต์คาริเลฟ (Prince-bishop, William of St. Carilef) และเริ่มก่อสร้างเมื่อ ค.ศ. 1093 หลังจากที่วิลเลียมเสียชีวิต รานูลฟ แฟลมบาร์ด (Ranulf Flambard) ก็ดำเนินงานต่อ ลักษณะหลังคาเหนือทางเดินกลางเป็นโค้งแหลมเล็กน้อยแบบมีสัน (ribbed vault) รับด้วยเสาอิงสลับกับเสากลมใหญ่ กำแพงค้ำยันซ่อนอยู่ภายในส่วนโค้งเหนือทาง เดินข้าง ลักษณะหลังคาของมหาวิหารเดอแรมเป็นลักษณะที่มาก่อนหน้าสถาปัตยกรรมกอธิคทางเหนือของฝรั่งเศสหลายสิบปีต่อมาซึ่งคงไปจากช่างสลักหินชาวนอร์มัน ถึงแม้โดยทั่วไปแล้วเดอแรมจะถือว่าเป็นมหาวิหารแบบโรมาเนสก์ก็ตาม การใช้เพดานโค้งแหลมและสันบนเพดานและกำแพงค้ำยันทำให้สามารถวางผังโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้นได้ ทำให้การตกแต่งทำได้สวยขึ้น และทำให้สิ่งก่อสร้างสูงขึ้น กว้างขึ้น และทำหน้าต่างได้กว้างขึ้น
เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 12 บาทหลวงฮิว เดอ พุยเซ็ท (Hugh de Puiset) ต่อเติมคูหาสวดมนต์กาลิลี (Galilee Chapel) ทางด้านตะวันตก หรือที่เรียกว่า Lady Chapel คูหาสวดมนต์กาลิลีเป็นที่เก็บบุญราศีบีด และบาทหลวงทอมัส แลงลีย์ซึ่งที่ฝังศพขวางประตูด้านตะวันตกของมหาวิหาร ที่ฝังศพของนักบุญคัธเบิร์ตอยู่ทางด้านตะวันออก และครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ฝังศพที่หรูทำด้วยหินอ่อนสีครีมและทอง
โดยพรินซบิชอบวิลเลียมแห่งเซ็นต์คาริเลฟ รานูลฟ แฟลมบาร์ด และ บาทหลวงฮิว เดอ พุยเซ็ท ต่างก็ถูกฝังไว้ที่มหาวิหารนี้ที่ในห้องประชุมสงฆ์ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับระเบียงคดที่สร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1140
คูหาสวดมนต์ 9 แท่นบูชา (Chapel of the Nine Altars) มาสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทางด้านตะวันออกของมหาวิหาร เริ่มโดยริชาร์ด เดอ พัวร์ (Richard le Poore) หอกลางถูกทำลายโดยฟ้าผ่า หอปัจจุบันสร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15

ยุบมหาวิหาร
ที่ฝังศพของนักบุญคัธเบิร์ตถูกสั่งให้ทำลายโดยพระราชโองการของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เมื่อปี ค.ศ. 1538 จนเหลือเพียงส่วนที่เป็นหิน สองปีต่อมาในปี ค.ศ. 1540 สำนักสงฆ์ที่เดอแรมก็ถูกสั่งให้ยุบตามพระราชกฤษฎีกายุบอาราม แต่ส่วนที่ยังเหลืออย่างสมบูรณ์แบบคือระเบียงคด และบาทหลวงองค์สุดท้ายฮิว ไวท์เฮดได้มาเป็น Dean คนแรกของมหาวิหาร


1600-1900
เมื่อปี ค.ศ. 1650 มหาวิหารเดอแรมกลายมาเป็นที่คุมขังเชลยศึกและขังนักโทษ จากสกอตแลนด์หลังจาก “ยุทธการดันบาร์ ค.ศ. 1650” (Battle of Dunbar (1650)) นักโทษเสียชีวิตไปราว 5000 คนถ้าไม่จากการเดินทางก็มาเสียชีวิตที่มหาวิหาร ร่างของนักโทษเหล่านี้ถูกฝังในหลุมนิรนาม นักโทษที่รอดถูกส่งตัวไป อินเดียตะวันตก, มลรัฐเวอร์จิเนีย และ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ และอีก 150 คนถูกส่งไปมลรัฐเมน เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1650
คูหาสวดมนต์ 9 แท่นบูชา มีหน้าต่างกุหลาบขนาดใหญ่จากคริสต์ศตวรรษที่ 17 และมาซ่อมใหม่เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 และรูปปั้นของวิลเลียม แวน มิลเดิร์ท (William Van Mildert) ผู้เป็นสมเด็จบาทหลวงองค์สุดท้ายปี ค.ศ. 1826 ถึงปี ค.ศ. 1836 ผู้เป็นแรงหนุนหลังในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยเดอแรม













ทิวทัศน์จากเซ็นต์มาร์กาเร็ต (St Margaret's)












ทิวทัศน์จาก South Street









ทิวทัศน์จากสะพานพรีเบ็นดส์ (Prebends Bridge)










ภายใน











ระเบียงคต

รูปแบบองค์ประกอบของสถาปัตยกรรม

สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ (ภาษาอังกฤษ: Romanesque architecture) เป็นคำที่บรรยายลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เริ่มราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไปจนถึงสมัยสถาปัตยกรรมกอธิคระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ที่อังกฤษจะเรียกกันว่า “สถาปัตยกรรมนอร์มัน”
ลักษณะเด่นๆของสถาปัตยกรรมยุคนี้คือความเทอะทะ เช่นความหนาของกำแพง ประตูหรือหลังคา/เพดานโค้งประทุน เพดานโค้งประทุนซ้อน การใช้โค้งซุ้มอาร์เคดในระหว่างช่วงเสาหนึ่ง ๆ และในแต่ละชั้นที่ต่างขนาดกัน[1] เสาที่แน่นหนา หอใหญ่หนัก และ การตกแต่งรอบโค้ง (เช่น:ซุ้มประตูหรืออาร์เคด (arcade)) ลักษณะตัวอาคารก็จะมีลักษณะเรียบ สมส่วนมองแล้วจะเป็นลักษณะที่ดูขึงขังและง่ายไม่ซับซ้อนเช่นสถาปัตยกรรมกอธิคที่ตามมา สถาปัตยกรรมจะพบทั่วไปในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นประเทศใดหรือไม่ว่าจะใช้วัสดุใดในการก่อสร้าง
สถาปัตยกรรมโรมาเนสก์จะพบในการก่อสร้างคริสต์ศาสนสถานและมหาวิหารเป็นส่วนใหญ่ แต่จะมีบ้างที่ใช้ในการก่อสร้างปราสาทในสมัยนั้น คริสต์ศาสนสถานแบบโรมาเนสก์ยังคงมีหลงเหลืออยู่ และบางแห่งก็ยังใช้เป็นสถานที่สักการะตราบจนทุกวันนี้

























การใช้การตกแต่งหินและเพดานโค้งแรกที่มหาวิหารเดอแรม
บรรณนุกรม
http://th.wikipedia.org/
หนังสือศิลปวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อการนำเที่ยว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น